เนื่องจากความกดดันในการทำงานและการรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล ทำให้มีคนที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปีเป็นโรคเบาหวานมากขึ้นเรื่อยๆ
ชายวัย 40 ปีคนหนึ่งพบว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารอยู่ที่ 140 mg/dL ในการตรวจสุขภาพประจำปี แพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคเบาหวาน ผู้ป่วยเล่าว่าเนื่องจากความกดดันจากการทำงาน จึงต้องนอนดึก กินอาหารนอกบ้าน ขาดการออกกำลังกาย และน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์จนถึงขั้นอ้วน
ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าชีวิตของคนในปัจจุบันมักเผชิญกับความเครียด งานยุ่ง และการรับประทานอาหารกับการพักผ่อนไม่เป็นระเบียบ ดังนั้น โรคเบาหวานจึงมีแนวโน้มเกิดขึ้นในกลุ่มคนที่อายุน้อยลง โดยจำนวนผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปีเพิ่มขึ้นทุกปี
สาเหตุหลักของโรคเบาหวานมาจากการรับประทานอาหารและวิถีชีวิตที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ผู้ป่วย 80% มีอาการน้ำหนักเกินหรืออ้วน โดยปกติไขมันจะสะสมอยู่ใต้ผิวหนังและในอวัยวะภายใน หากผู้ป่วยเบาหวานบริโภคแคลอรี่มากเกินไป ไขมันส่วนเกินจะสะสมในตับและตับอ่อน ทำให้เกิดการสะสมของไขมันและนำไปสู่ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
อินซูลินมีหน้าที่ช่วยนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ ในผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวาน การทำงานของตับอ่อนในการหลั่งอินซูลินลดลงเหลือเพียง 50% ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สามารถควบคุมได้และเพิ่มสูงขึ้น สภาวะนี้หากเกิดขึ้นต่อเนื่องอาจนำไปสู่โรคร่วม เช่น โรคจอประสาทตา โรคนิ่ว โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ และเพิ่มอัตราการเสียชีวิตขึ้น 27%
อาการของภาวะน้ำตาลในเลือดสูงรวมถึงการกินเยอะ ดื่มเยอะ ปัสสาวะบ่อย และน้ำหนักลดลง เมื่อมีอาการดังกล่าว ควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากผู้ป่วยเบาหวานมีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 27 (ระดับน้ำหนักเกิน) และไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้นาน ควรไปพบแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงวงจรการควบคุมน้ำตาลในเลือดและน้ำหนักที่ยากลำบาก